กะโหลกศีรษะ (อังกฤษ: Skull) เป็นโครงสร้างของกระดูกที่ประกอบขึ้นเป็นโครงร่างที่สำคัญของส่วนศีรษะในสัตว์ในกลุ่มเครนิเอต (Craniate) หรือสัตว์ที่มีกะโหลกศีรษะ ซึ่งรวมทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด กะโหลกศีรษะทำหน้าที่ปกป้องสมองซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบประสาท รวมทั้งเป็นโครงร่างที่ค้ำจุนอวัยวะรับสัมผัสต่างๆ ทั้งตา หู จมูก และลิ้น และยังทำหน้าที่เป็นทางเข้าของทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ
การศึกษาเกี่ยวกับกะโหลกศีรษะมีประโยชน์อย่างมากหลายประการ โดยเฉพาะการศึกษาในเชิงกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบระหว่างสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ด้านบรรพชีวินวิทยาและความเข้าใจถึงลำดับทางวิวัฒนาการ นอกจากนี้การศึกษาลงไปเฉพาะกะโหลกศีรษะมนุษย์ก็มีประโยชน์อย่างมากในการศึกษาด้านนิติเวชศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ รวมทั้งมานุษยวิทยาและโบราณคดี
กะโหลกศีรษะของมนุษย์ประกอบด้วยกระดูกทั้งหมด 22 ชิ้น ทั้งนี้ไม่นับรวมกระดูกหู (ear ossicles) กระดูกแต่ละชิ้นของกะโหลกศีรษะส่วนใหญ่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยข้อต่อแบบซูเจอร์ (Suture) ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่มีความแข็งแรงสูง กระดูกของกะโหลกศีรษะสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กระดูกหุ้มสมอง (Neurocranium) ทำหน้าที่ป้องกันสมองที่อยู่ภายในโพรงกะโหลก (cranial cavity) ซึ่งมีด้วยกัน 8 ชิ้น และสแปลงคโนเครเนียม (Splanchnocranium) ทำหน้าที่ค้ำจุนบริเวณใบหน้า รวมแล้วมีจำนวน 14 ชิ้น นอกจากนี้ ภายในกระดูกขมับ (temporal bone) ยังมีกระดูกหูอีก 6 ชิ้น ซึ่งหน้าที่เกี่ยวกับการขยายความสั่นสะเทือนของเสียงจากเยื่อแก้วหูไปยังท่อรูปก้นหอย (cochlear) และกระดูกไฮออยด์ (hyoid bone) ทำหน้าที่ค้ำจุนลิ้นและกล่องเสียงซึ่งปกติแล้วไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของกะโหลกศีรษะ ภายในกะโหลกศีรษะยังมีโพรงไซนัส (sinus cavities) 4 คู่ หน้าที่ของโพรงไซนัสยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าช่วยในการทำให้กะโหลกศีรษะมีน้ำหนักเบาขึ้น ทำให้ศีรษะไม่เอนมาทางด้านหน้าและทำให้ศีรษะตั้งตรงได้ ช่วยให้เสียงก้องกังวาน และช่วยให้อากาศที่ผ่านโพรงจมูกเข้าไปในทางเดินหายใจอุ่นและชื้นมากขึ้น ด้านในของกะโหลกศีรษะส่วนที่หุ้มสมองยังมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มรอบโครงสร้างของระบบประสาทกลาง เรียกว่า เยื่อหุ้มสมอง (meninges) ซึ่งมีอยู่ 3 ชั้นเรียงจากชั้นนอกสุดเข้าไปยังชั้นในสุดได้แก่ เยื่อดูรา (dura mater) , เยื่ออะแร็กนอยด์ (arachnoid mater) , และเยื่อเพีย (pia mater) เยื่อหุ้มสมองมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องและหน้าที่ทางสรีรวิทยาอื่นๆ อีกมากมาย
การบาดเจ็บหรือบวมของเนื้อสมองเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและความพิการ การบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะในส่วนที่ปกป้องสมอง อาจทำให้เกิดการแตกของหลอดเลือดสมองได้ ในภาวะที่มีเลือดออกในสมอง หรือมีความดันในกะโหลก (intracranial pressure) เพิ่มมากขึ้น อาจมีผลต่อก้านสมอง (brain stem) ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
(ข้อมูลคัดมาจาก https://th.wikipedia.org/wiki/กะโหลกศีรษะ)
มะพร้าว เป็นพืชยืนต้นชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลปาล์ม เป็นพืชซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ในหลายทาง เช่น น้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อนใช้รับประทาน เนื้อในผลแก่นำไปขูดและคั้นทำกะทิ กะลานำไปประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ ฯลฯ นอกจากนี้มะพร้าวจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง ได้กำหนดให้ปลูกมะพร้าวไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคล
มะพร้าว เป็นพืชยืนต้น ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก ผลประกอบด้วยเอพิคาร์ป (epicarp) คือเปลือกนอก ถัดไปข้างในจะเป็นมีโซคาร์ป (mesocarp) หรือใยมะพร้าว ถัดไปข้างในเป็นส่วนเอนโดคาร์ป (endocarp) หรือกะลามะพร้าว ซึ่งจะมีรูสีคล้ำอยู่ 3 รู สำหรับงอก ถัดจากส่วนเอนโดคาร์ปเข้าไปจะเป็นส่วนเอนโดสเปิร์ม หรือที่เรียกว่าเนื้อมะพร้าว ภายในมะพร้าวจะมีน้ำมะพร้าว ซึ่งเมื่อมะพร้าวแก่ เอนโดสเปิร์มก็จะดูดเอาน้ำมะพร้าวไปหมด ขณะที่มะพร้าวยังอ่อน ชั้นเอนโดสเปิร์ม (เนื้อมะพร้าว) ภายในผลมีลักษณะบางและอ่อนนุ่ม ภายในมีน้ำมะพร้าว ซึ่งในระยะนี้เรามักสอยเอามะพร้าวลงมารับประทานน้ำและเนื้อ เมื่อมะพร้าวแก่ ซึ่งสังเกตได้จากการที่เปลือกนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ชั้นเอนโดสเปิร์มก็จะหนาและแข็งขึ้น จนในที่สุดมะพร้าวก็หล่นลงจากต้น
(ข้อมูลคัดมาจาก https://th.wikipedia.org/wiki/มะพร้าว)
ด้วยเหตุผลที่เกิดมาก่อน พ.ศ.2500 และอยู่ในบ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญชนิดสุดแผ่นดินสยาม ทำให้ชีวิตวัยเด็กรู้จักแต่ของเล่นที่เด็กสมัยนี้ไม่มีวาสนาจะได้พบเห็นอย่างแน่นอน และวัสดุที่ใช้ทำของเล่นส่วนมากก็จะทำจากวัสดุที่หยิบฉวยได้จากใต้ถุนบ้านหรือในป่าข้างบ้าน หรือจะหลังบ้านก็ตามแต่สะดวก ของสถานการณ์ แต่สรุปได้ว่าส่วนมากก็จะทำจากกระโหลกกะลาเสียมากกว่าชนิดอื่น และแบบที่ทันสมัยที่สุดก็คือการเอามาทำเป็นรองเท้าโดยผ่ามะพร้าวออกเป็นสองซีก (อันนี้มันเป็นไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เพราะแม่บ้านเค้าจะผ่ามะพร้าวเพื่อขูดเอาเนื้อด้วยมือ โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่ากระต่ายขูดมะพร้าวในลักษณะเดียวกันทั่วทั้งทวีปเอเซีย) จากนั้นก็เจาะรูร้อยเชือกผ่านรูของกะลาให้เชือกยาวพอที่เราจะขึ้นไปยืนบนกะลาใช้นิ้วเท้าระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้คีบเส้นเชือกไว้สองมือก็รั้งเชือกไว้เพื่อประคองจังหวะในการเดิน แต่ตามปกติจะใช้สำหรับการวิ่งแข่งกันมากกว่า หรือไม่ก็ไว้ฝ่าเข้าดงหนามไมยราพ อันนี้เป็นเทคนิคพิเศษน่ะ
นอกจากจะใช้เป็นของเล่นแล้วยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องใช้ไม้สอยได้นับร้อยแปดพันเก้าชนิด ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ความสามารถของพ่อบ้านล่ะว่าจะมีหัวก้าวหน้าเพียงใด เพราะเคยเห็นมากับตาว่าบางคนสามารถนำกะลามะพร้าวมาประกอบกันเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ เช่น ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอี้ หรือผนังบ้านทั้งแถบ ขัดมันลงแลคเกอร์จนวาววับจับตา
แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้แม่นยำเกี่ยวกับกระโหลกกะลาก็คือ การถูกครูใช้มะเหงกเคาะลงบนหัวแล้วยังมีหน้ามาบ่นว่าเจ็บมือ "เด็กบ้าหัวแข็งยังกับกะลา" ทั้งๆ ที่คนโดนเขกหัวน่ะเจ็บมากกว่าหลายเท่าและก็รู้ๆ กันอยู่ว่าคุณครูสมัยโบราณน่ะ "ตีจริง เจ็บจริง" ไม่มีตัวแสดงแทนหรือใช้เทคนิคพิเศษสักอย่าง คนรุ่นเก่าๆ ที่พยายามโชว์ออฟบางคนอาจเคยมีแผลเป็นประดับแก้มก้นเป็นรอยจารึกไว้จนชั่วชีวิตกับเรียวไผ่คมกริบที่ฟาดลงบนก้นเปลือยเรียกเลือดซึมออกมาเป็นแนวยาวคาบผ่านสองแก้มก้นพร้อมๆ กัน มันแสบถึงใจจริงๆ
วันนี้อยากพูดถึงแต่เรื่องกะลาก็พอ เพราะเรื่องกระโหลกน่ะ นอกจากจะมีไว้ป้องกันสมองไหลแล้วยังมีไว้เพื่อแสดงถึงความแข็งแรงเหนือผู้อื่นในเรื่องของสามัญสำนึก จิตสำนึก หรือคุณธรรม จริยธรรม ด้วยคำจำกัดความสั้นๆ ที่น่าจะเป็นคำชมที่ว่า "กระโหลกหนา"
เราจะมามองหาความหมายของคำนี้ดูว่า
แพทย์หรือประชาชน
ที่เป็นผู้ค้นพบความหมายนี้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น